
"เสื่อกกนาหมอม้า" ภูมิปัญญาไทอำนาจเจริญ สู่สินค้า GI จังหวัดอำนาจเจริญ
กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ประกาศให้ “เสื่อกกนาหมอม้า” ตำบลนาหมอม้า อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ เป็น "สินค้า GI" หรือ สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (ประกาศ เล่มที่ 83 เลขที่ 236 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567)
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์หรือ GI (Geographical Indication) คือ เครื่องหมายที่ใช้กับสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตที่เฉพาะเจาะจงซึ่งคุณภาพหรือชื่อเสียงของสินค้านั้นๆ เป็นผลมาจากการผลิตในพื้นที่ ดังกล่าว GI จึงเปรียบเสมือนแบรนด์ของท้องถิ่นที่บอกคุณภาพและแหล่งที่มาของสินค้า
จังหวัดอำนาจเจริญ ตั้งอยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 15 องศา 30 ลิปดาเหนือ และระหว่างเส้นลองจิจุด ที่ 104 องศา 15 ลิปดาตะวันออก สภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ลุ่ม และมีเนินเขาเตี้ยๆ สภาพดินโดยทั่วไปเป็นดินร่วนปนทรายและบางส่วนเป็นดินลูกรัง แต่สามารถทำการเกษตรได้ พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล ประมาณ 68 เมตร (227 ฟุต) มีลำน้ำสายใหญ่ไหลผ่าน ได้แก่ ลำเซบกและลำเซบาย และมีลุ่มน้ำต่างๆ ทั่วทั้งจังหวัด 7 ลุ่มน้ำ ได้แก่ ลุ่มน้ำโขง ลุ่มน้ำละโอง ลุ่มน้ำพระเหลา ลุ่มน้ำห้วยยาง ลุ่มน้ำเซบก ลุ่มน้ำเซบาย ลุ่มน้ำห้วยปลาแดก
ลักษณะภูมิอากาศ มี 3 ฤดูกาล ได้แก่ ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน เป็นระยะประมาณ 5 เดือน ฤดูหนาวเริ่มตั้งแต่ เดือนตุลาคมถึงกลางเดือนมกราคม ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนพฤษภาคม ระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือน และจะร้อนมากที่สุดในช่วงเดือนเมษายน
จากลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศดังกล่าว ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของต้นกก โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นดินร่วมปนทราย เขตลุ่มน้ำเป็นดินที่สามารถเก็บกักความชื้นได้ดี และมีความอุดมสมบูรณ์ ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของกก ทำให้กกนาหมอม้ามีความแกร่ง และเหนียวทนทาน
ประวัติความเป็นมา "เสื่อกกนาหมอม้า" เมื่อราวปี พ.ศ. 2500 ชาวบ้านนาหมอม้า ได้เริ่มทำเสื่อสำหรับปูนั่งปูนอน เนื่องจากบ้านเรือนในสมัยนั้นใช้วัสดุปูพื้นบ้านด้วยไม้ไผ่ ชาวบ้านได้น้ำต้นผือลักษณะลำต้นสามเหลี่ยมขึ้นเองตามธรรมชาติบริเวณหนองน้ำ นำมาตากแดดให้แห้งแล้วสานทั้งลำต้น (ไม่ย้อมสี) ต่อมามีชาวบ้านในชุมชนเดินทางไปเยี่ยมญาติทางฝั่งเมืองยศ (ยโสธร) เดินผ่านทุ่งนามองเห็นต้นกกเกิดตามธรรมชาติมีลักษณะคล้ายกับต้นผือ จึงเกิดความคิดว่าน่าจะนำมาทดลองทอเสื่อ จึงได้นำเหง้ากกหรือหัวกกที่มีหน่ออ่อนงอกออกมาไปปลูกเพื่อขยายพันธ์ และนำกกมาตากแห้งแล้วนำมาทอทั้งลำต้น ต่อมาตัวแทนชาวบ้านได้ไปศึกษาดูงานเสื่อจันทบูร ที่จังหวัดจันทบุรี เพื่อดูวิธีการย้อมสีของเส้นกก หลังจากไปเรียนรู้วิธีย้อมสีของเส้นกก จึงได้นำวิธีการย้อมกลับมาย้อมเอง ที่ชุมชนบ้านนาหมอม้า โดยในงานกาชาดจังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2523 - 2525 ชุมชนนาหมอม้าได้นำเสื่อกก พร้อมทั้งอุปกรณ์สาธิตการทอเสื่อส่งป ระกวด ได้รับรางวัลชนะเลิศงานหัตถกรรมฝีมือของชุมชนทุกปี และผลิตภัณฑ์เสื่อกกจากชุมชนนาหมอม้า ได้ไปจัดแสดงในงานระดับประเทศอีกหลากหลายงาน เช่น งานมอบรางวัลหมู่บ้านเข้มแข็งตามแนวทางแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง พ.ศ. 2526 การประชุมเอเปค พ.ศ.2549 เป็นต้น
ปัจจุบันชาวบ้านนาหมอม้าสามารถออกแบบลวดลายของเสื่อกกมากกว่า 200 ลาย เช่น ลวดลายสร้างสรรค์ ลายภาพสัตว์ต่างๆ อาทิ ผีเสื้อ นกยูง หงส์ หรือเป็นตัวอักษรชื่อบุคคล โลโก้บริษัท ห้างร้าน รวมไปถึงการมัดย้อมมัดหมี่ ลายขอ ลายไท ลายบัวหลวง และมีการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ เบาะรองนั่ง แผ่นรองจาน ที่คลุมเก้าอี้ กล่องกระดาษอเนกประสงค์ เป็นต้น ทำให้เกิดเป็นอาชีพเสริมคือการทอเสื่อกก และผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากเสื่อกก นอกเหนือจากการทำนา ทำให้ชาวบ้านมีงานทำและมีรายได้เสริมตลอดทั้งปี มีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่งดงาม "เสื่อกกนาหมอม้า" จึงถือได้ว่าเป็นมรดกที่ล้ำค่า ที่บรรพบุรุษได้ถ่ายทอดและมอบไว้ให้ลูกหลานและคนรุ่นหลัง สืบสานต่อจากรุ่นสู่รุ่นต่อไป